“พระชายาคังงดงามถึงเพียงนั้น น่าเสียดายยิ่งนักที่นางต้องตายไปเช่นนี้ สู้ให้พวกเราได้เล่นสนุกกันเสียก่อนที่นางจะตาย จะได้เบิกบานใจสักหน่อย”
“ฮ่า ๆ…… เจ้าพูดถูก อย่างไรก็กำลังจะตายอยู่แล้ว ถึงพวกเราจะเล่นสนุกกับนาง แล้วจะมีผู้ใดรู้ได้กันเล่า”
“นั่นสิ ท่านอ๋องคังกำลังจะอภิเษกกับพระชายารองอยู่แล้ว เขาจะเอาเวลาที่ไหนมาสนใจความเป็นความตายของนางกันเล่า บางทีเขาอาจแทบจะรอไม่ไหวอยากให้นางตายไปโดยเร็วก็เป็นได้”
……
ทันทีที่ฉินเซิงฟื้นคืนสติ นางก็เห็นว่ามีบุรุษสองคนกำลังเดินเข้ามาใกล้นางด้วยสีหน้าหื่นกาม อีกทั้งยังพูดจาต่ำช้าออกมาอีกด้วย
นางจึงทำการดึงปิ่นด้ามหนึ่งออกมา ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินเข้ามา นางก็กระโดดขึ้นและนำปิ่นแทงเข้าไปในดวงตาของบุรุษหนึ่งในนั้นทันที จากนั้นก็ดึงออกและเสียบเข้าไปที่คอของเขาอีกครั้ง
“โอ๊ย!”
ชายคนนั้นเอามือกุมตาและคอเอาไว้ มีเลือดไหลออกมาจากระหว่างนิ้วของเขาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อชายอีกคนเห็นคนที่หายใจโรยรินใกล้ตายจู่ ๆ ก็แสดงอารมณ์โกรธแค้นลุกขึ้นมาฆ่าคนเช่นนี้ เขาก็ตกใจมากจนรีบหันหลังเพื่อจะวิ่งหนีไปทันที แต่ฉินเซิงจะยอมให้เขามีโอกาสนั้นได้อย่างไร นางรีบวิ่งปรี่เข้าไปคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาเอาไว้ จากนั้นก็พลิกมืออย่างแรง มีแสงอันเย็นยะเยือกเปล่งประกายออกมาจากปิ่นแวบหนึ่ง แล้วมันก็ปาดไปที่คอของชายผู้นั้น หลังจากที่ปล่อยมือออกแล้ว ชายผู้นั้นก็ล้มลงไปกับพื้นทันที
หลังจากที่กำจัดบุรุษสองคนนี้ไปได้แล้ว ฉินเซิงก็เซถอยหลังไปสองก้าวและพิงกำแพงพลางหายใจหอบอยู่อย่างนั้น ใบหน้าของนางไม่ได้ดูประหลาดใจกับการได้กลับมาเกิดใหม่เลย มีเพียงความสับสนและเห็นอกเห็นใจเท่านั้น
เจ้าของร่างเดิมเป็นเด็กกำพร้าแห่งจวนท่านแม่ทัพ ด้วยความที่ฮ่องเต้ทรงสงสารนาง พระองค์จึงมีรับสั่งพระราชทานงานแต่งให้นางไปเป็นพระชายาของหวี่เหวินอี้ซึ่งก็คือท่านอ๋องคัง แต่น่าเสียดายที่เขามีหญิงสาวที่ตนเองหมายปองอยู่แล้ว ซึ่งก็คือซางหลี ลูกสาวของมหาราชครูนั่นเอง
เพื่อให้ได้แต่งงานกับคนที่ตนเองรัก หวี่เหวินอี้จึงกักขังเจ้าของร่างเดิมไว้ที่สำนักหนานซาน ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ในการกักขังคนบ้าโดยเฉพาะ โดยให้เหตุผลว่านางเป็นบ้า
ระหว่างที่อยู่ในสำนักหนานซาน เจ้าของร่างเดิมต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส นางสามารถอดทนมาได้จนถึงตอนนี้โดยที่ยังไม่ตาย เพราะความรู้สึกโกรธแค้นและไม่พอใจที่มีอยู่ ตอนนี้พอฉินเซิงเข้ามาอยู่ในร่างแล้ว ความโกรธแค้นนั้นจึงสื่อออกมาด้วย
ก่อนเสียชีวิตในภพชาติที่แล้ว ฉินเซิงเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งมีฉายาว่าราชินีแห่งยาพิษ นางเชี่ยวชาญในการใช้ยาพิษเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ดอกไม้หรือหญ้าธรรมดาริมถนนเพียงแค่ต้นเดียว หากมาอยู่ในมือของนางแล้วมันก็อาจกลายเป็นพิษที่ร้ายแรงถึงชีวิตได้
ซึ่งแน่นอนว่าทักษะทางการแพทย์และยาพิษเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้อยู่แล้ว นางจึงเก่งกาจในเรื่องทักษะทางการแพทย์มากเช่นกัน
นางเคยทำภารกิจมาเยอะแยะมากจนรู้สึกว่ามันน่าเบื่อเกินไป ดังนั้นนางจึงอยากที่จะค่อย ๆ วางมือแล้ว แต่น่าเสียดายที่ลูกค้าประจำของนางไม่ยินยอม เกรงว่านางจะแฉความลับของพวกเขา ดังนั้นทุกคนจึงร่วมมือกันค้นหาฐานลับของนางแล้ววางระเบิด ระเบิดเพียงลูกเดียวก็ทำให้นางและฐานลับทั้งหมดกลายเป็นผุยผงภายในชั่วพริบตา จากนั้นนางก็ได้มาเกิดใหม่ในราชวงศ์ที่แปลกประหลาดนี้
ฉินเซิงเป็นคนที่แยกแยะระหว่างความรักและความเกลียดชังได้อย่างชัดเจน ในเมื่อนางได้มาครอบครองร่างของคนผู้นี้แล้ว นางก็ต้องแก้แค้นให้เจ้าของร่าง
เมื่อนึกถึงบทสนทนาของบุรุษทั้งสองเมื่อสักครู่นี้ที่ว่า วันนี้ท่านอ๋องคังกำลังจะอภิเษกสมรสกับพระชายารองแล้ว หากเป็นเช่นนั้น การที่นางผู้ซึ่งเป็นพระชายาเอกไม่ไปปรากฏตัว เกรงว่าอาจจะเป็นการเสียมารยาทเอาได้
ฉินเซิงใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดออกจากปิ่น แล้วก็ปักกลับไปบนหัวใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
สำนักหนานซานตั้งอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งในเขตชานเมืองของเมืองจิง มีทหารยามจำนวนมากคอยเฝ้าอยู่ที่ทางลงเขา แต่สำหรับฉินเซิงแล้ว ทุกที่ล้วนแล้วแต่เป็นทางลงเขาได้หมด ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เส้นทางนั้น
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองจิงถึงหนึ่งร้อยกว่าลี้ ซึ่งหากอาศัยการเดินเท้าไปที่นั่น งานอภิเษกสมรสของหวี่เหวินอี้และซางหลีน่าจะจบลงไปแล้ว
นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วก็เห็นรถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนี้ ฉินเซิงที่ยืนอยู่ข้างถนนจึงยกแขนขึ้น เตรียมจะโบกรถม้าเพื่ออาศัยกลับไปยังเมืองจิง
“นายท่าน มีคนมาขวางทางอยู่ข้างหน้าขอรับ เป็นสตรีสวมเสื้อผ้ามอมแมมนางหนึ่งพะยะค่ะ”
หลังจากที่หมิงเยว่ที่เป็นคนขับรถม้าเห็นฉินเซิง เขาก็รายงานไปยังผู้ที่อยู่ในห้องโดยสารของรถม้า หลังจากนั้นผู้ที่อยู่ในห้องโดยสารรถก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉยเมยและเกียจคร้านว่า
“มิต้องไปสนใจ”
หมิงเยว่มองไปข้างหน้าครู่หนึ่ง แล้วก็พูดขึ้นมาด้วยความลำบากใจว่า
“แต่สตรีนางนั้นยืนอยู่กลางถนนเลยนะพะยะค่ะ”
บุรุษผู้นั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่อย่างใด น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาและเรียบเฉยเหมือนเช่นเคย
“มิต้องไปสนใจ”
เอาล่ะ!
หมิงเยว่ที่ได้รับคำสั่งมาดังนั้นจึงไม่ได้ชะลอความเร็วลง เขาพุ่งตรงเข้าไปหาฉินเซิงด้วยความเร็วทันที
เมื่อฉินเซิงเห็นเช่นนี้ รูม่านตาของนางก็หดตัวลง นางรีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ขืนนางช้ากว่านี้เพียงแค่นิดเดียว รถม้าอาจจะทับตัวนางไปแล้วก็เป็นได้
ความอดทนของนางถึงขีดจำกัดแล้ว
ฉินเซิงดึงปิ่นบนหัวออก แล้วก็กระโดดขึ้นไปด้านหลังรถม้าและปีนเข้าหน้าต่างไป จากนั้นก็นำปลายแหลมของปิ่นจี้ไปที่คอของบุรุษในรถม้า แล้วก็ข่มขู่ขึ้นมาเบา ๆ ว่า
“อย่าพูดอันใดทั้งนั้น มิเช่นนั้นข้าจะปลิดชีพอันไร้ค่าของเจ้าเสีย”
การเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วและคล่องตัวมาก ใช้เวลาไปเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ซึ่งหมิงเยว่ที่บังคับรถม้าอยู่ข้างหน้านั้นไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะถูกคนจี้ที่อวัยวะสำคัญอยู่ แต่ท่าทีของบุรุษผู้นี้กลับสงบนิ่งมาก เขาไม่ได้หวาดกลัวปิ่นอันแหลมคมในมือของฉินเซิงเลยแม้แต่นิดเดียว เขาหันหน้าไปมองนางและพูดขึ้นว่า
“แม่นาง หากเจ้าอยากจะติดรถกลับไปเมืองจิงก็เชิญตามสบายเถิด มิเห็นจำเป็นที่จะต้องทำอันใดป่าเถื่อนเช่นนี้เลย ข้าก็มิใช่คนใจร้ายใจดำถึงเพียงนั้นเสียหน่อย”
หลังจากพูดจบ เขาก็กระตุกมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อยราวกับจะแสดงความมีน้ำจิตน้ำใจต่อฉินเซิงอย่างไรอย่างนั้น
เหอะ ๆ……
ดูเหมือนว่าคำพูดของบุรุษผู้นี้จะไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย
โดยเฉพาะเมื่อคนตรงหน้ามีหน้าตาดุจภาพวาด ริมฝีปากแดง ฟันขาว โฉมหน้าดูหล่อเหลาเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่
เมื่อกี้นี้นางโบกมือไปมาอย่างแรงจนแทบจะมองไม่ทันอยู่แล้ว แต่เขากลับปล่อยให้รถม้าพุ่งเข้าใส่นางโดยไม่สนใจเลยว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ประหนึ่งไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น แต่แล้วตอนนี้กลับจะมานึกได้ในภายหลังเช่นนี้ ยิ่งไม่ควรที่จะให้อภัยเอาเสียด้วยซ้ำ
ฉินเซิงเลื่อนปิ่นในมือไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้น จนมันเกือบจะแทงเข้าไปในเนื้อหนังของบุรุษผู้นั้นอยู่แล้ว
“อย่ามัวพูดจาไร้สาระอยู่เลย แค่อยู่นิ่ง ๆ ก็พอ”
บุรุษผู้นั้นเงียบไปจริง ๆ เขาหยิบหนังสือข้าง ๆ ขึ้นมาอ่าน ส่วนฉินเซิงคอยจับปิ่นเอาไว้แน่นตลอดเวลา คอยระวังไม่ให้บุรุษผู้นี้ไปขอความช่วยเหลือจากคนขับรถม้าที่อยู่ข้างนอก
รถม้าวิ่งเร็วมาก ไม่ถึงครึ่งวันก็มาถึงเมืองจิงแล้ว
ฉินเซิงไม่มีอะไรติดตัวมาเลย นางมองพิจารณาเสื้อผ้าที่หรูหราของบุรุษผู้นั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลูบจมูกไปมา แล้วก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความรู้สึกเขินอายเล็กน้อยว่า “เจ้าพอจะมีเงินติดตัวบ้างหรือไม่ ให้ข้ายืมหน่อยได้หรือไม่?”
ฉินเซิงรู้ว่า การปล้นรถและยังปล้นเงินอีกไม่ใช่การกระทำที่ดี แต่นางหมดหนทางแล้วจริง ๆ
ซึ่งบุรษผู้นี้ก็ใจดีมาก เขาถอดถุงเงินออกมาจากเอว แล้วก็ยื่นให้ฉินเซิงไป
ฉินเซิงรับมันมา แล้วก็ส่งยิ้มให้เขา
“ขอบคุณ หากท่านต้องการเงินก็ไปที่จวนท่านอ๋องคัง แล้วก็บอกว่าพระชายาคังได้ยืมเงินของเจ้าไปก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำว่าพระชายาคัง ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นก็แสดงอาการเข้าใจขึ้นมาในทันที
การที่นางจะจำเขาไม่ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้ เพราะอันที่จริงเขาก็อยู่ที่ทะเลทรายมานานหลายปีแล้ว แทบจะไม่ได้กลับมาเลย
ฉินเซิงไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดปกติไปของบุรุษผู้นี้ นางเห็นเพียงแค่ว่าใบหน้าของเขาดูซีดอย่างเห็นได้ชัด นางจึงพูดขึ้นมาว่า
“เห็นแก่ที่เจ้าให้ข้าร่วมทางมาด้วย อีกทั้งยังให้ข้ายืมเงิน ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดีก็แล้วกัน เจ้าจะต้องรีบกำจัดพิษกู่ออกจากร่างกายโดยเร็ว เจ้ามีเวลามากสุดไม่ถึงหนึ่งปีแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าจะต้องมีอาการบ้าคลั่งไปโดยปริยายเป็นแน่ แล้วก็กลายเป็นปีศาจตนหนึ่งที่กระหายการเข่นฆ่าเป็นแน่”
ทันทีที่นางพูดออกมาเช่นนี้ สีหน้าที่ดูเฉยชาของบุรุษผู้นั้นก็ดูอึ้งไปชั่วขณะ
นางรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร อีกทั้งยังสามารถสรุปได้ด้วยว่าเป็นพิษกู่ หรือว่าพระชายาคังผู้นี้จะมีความสามารพิเศษที่คนรอบข้างไม่รู้
บุรุษผู้นั้นมองไปที่ฉินเซิงที่กำลังจะจากไป นิ้วของเขาเคาะลงบนหนังสือเบา ๆ ในแววตามีแสงอันมืดมนแวบขึ้นมาครู่หนึ่ง
เมื่อม่านด้านหลังถูกยกขึ้นอย่างกะทันหัน หมิงเยว่จึงหันไปมอง พอเห็นฉินเซิง เขาก็ตกใจมากจนรีบดึงบังเหียนเพื่อหยุดรถม้า แล้วก็ถามออกมาอย่างติด ๆ ขัด ๆ ว่า
“เจ้า…… เจ้าขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ฉินเซิงยิ้มกว้างให้เขา แต่ไม่ได้ตอบกลับไป แล้วก็เดินแกว่งถุงเงินในมือจากไปทันที
หมิงเยว่จำได้ว่าถุงเงินที่นางถืออยู่เป็นของเจ้านายของตน เขาจึงรีบรายงานไปในห้องโดยสารว่า “นายท่าน สตรีนางนั้นขโมยถุงเงินของท่านไปแล้วขอรับ”
คำตอบของเขายังคงเป็นคำเดิม
“มิต้องสนใจ”
เอ่อ…… ก็ได้!
ตอนที่หมิงเยว่กำลังจะยกแส้ขึ้น บุรุษในห้องโดยสารก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่าเพิ่งกลับไปที่จวน ไปที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ตรงข้ามจวนท่านอ๋องคังก่อน วันนี้น่าจะมีอันใดสนุก ๆ ให้ดู”
หมิงเยว่รู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ดูอะไรสนุก ๆ เขาจึงรีบเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าตรงไปที่ภัตตาคารซื่อไห้ในทันที แล้วก็เลือกห้องส่วนตัวบนชั้นสามที่อยู่ติดกับหน้าต่างโดยเฉพาะ เพราะจะสามารถมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเรือนของจวนท่านอ๋องคังได้อย่างชัดเจน
ฉินเซิงที่ถือถุงเงินอยู่นั้นได้ทำการหาโรงเตี๊ยมสักแห่งก่อน จากนั้นก็ทำการอาบน้ำให้สบายตัว แล้วก็กินอาหารจนอิ่มท้อง แล้วก็ไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ โดยนางสวมเป็นชุดกระโปรงยาวสีแดงสดเอวเข้ารูปและชายกระโปรงบาน ทำให้นางดูงดงามอย่างหามีเปรียบไม่ได้ อีกทั้งยังดูมีสง่าราศีโดดเด่นเป็นอย่างมากอีกด้วย ทำเอาเจ้าของร้านและเตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ของร้านค้าถึงกับมองแล้วตาค้างกันไปเลย ในโลกนี้มีสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้ด้วยหรือนี่
ข้าง ๆ โรงเตี๊ยมมีร้านขายยาอยู่แห่งหนึ่ง ฉินเซิงก็ได้ไปซื้อของบางอย่างจากในร้านมาอีกด้วย
นางเดินทางไปถึงจวนท่านอ๋องคังด้วยความทะนงตน มองไปที่ฉากที่มีชีวิตชีวาภายในจวน ก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา
ก็เพียงแค่อภิเษกสมรสกับพระชายารองเท่านั้น แต่พิธีการนั้นกลับยิ่งใหญ่เสียกว่าการอภิเษกสมรสกับพระชายาเอกเสียอีก ขบวนแห่ยาวถึงสิบลี้ เสียงฉิ่งและกลองดังกึกก้องไปทั่วฟ้า ผ้าไหมสีแดงพลิ้วไสว แขกผู้มีเกียรติต่างก็พากันมาล้อมรอบห้องทำพิธีอภิเษกสมรสเอาไว้ ภายในห้องทำพิธีอภิเษกสมรส หวี่เหวินอี้สวมชุดแต่งงานสีแดงสด ใบหน้าดูหล่อเหลา มีสง่าราศีมากเป็นพิเศษ ใบหน้ามีความอิ่มเอมมีความสุข
เมื่อมองไปที่ซางหลีผู้เป็นเจ้าสาวอีกครั้ง นางมีรูปร่างที่สง่างาม ถึงแม้ว่าจะมีผ้าคลุมสีแดงคลุมหน้าอยู่แต่ก็ยังสามารถจินตนาการได้ว่า ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั้นจะงดงามน่าทึ่งเพียงใด
ทั้งสองคนจูงมือกันด้วยผ้าไหมสีแดง พวกเขาเป็นคู่ที่ลงตัวราวกับกิ่งทองใบหยก ดุจดั่งสวรรค์สรรสร้างมา
ขณะนี้ พิธีอภิเษกสมรสของหวี่เหวินอี้และซางหลีได้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ทั้งสองกำลังหันหลังให้กับประตูใหญ่ของจวนอ๋องอยู่ กำลังยืนอยู่ในห้องทำพิธีอภิเษกสมรส ซึ่งด้านหน้าของพวกเขาคือโฆษกซึ่งเป็นผู้ดำเนินพิธีอภิเษกสมรสในวันนี้
“ส่งตัวเข้าเรือนหอได้!”
เมื่อโฆษกตะโกนจบ ฉินเซิงก็ก้าวเข้าไปในสถานที่จัดงานอภิเษกสมรสทันที
“ช้าก่อน”
สายตาของทุกคนหันไปมองที่นางในทันที ตอนที่เห็นว่าเป็นหญิงสาวนางหนึ่งในชุดสีแดง ทุกคนต่างก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาด้วยความสงสัย
“สตรีนางนี้เป็นผู้ใดกัน?” ดวงตาของนางราวกับหยดน้ำ งดงามราวกับดอกท้อ นางงามเสียจนสามารถล้มเมืองได้เลย งามจนมิอาจหาใครเทียบได้เลยจริง ๆ ”
“ดูค่อนข้างที่จะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง เอ๊ะ! นึออกแล้ว นี่มันพระชายาคังมิใช่หรอกหรือ?”
“พระชายาคังเยี่ยงนั้นหรือ? แต่นางเป็นบ้าไปแล้วมิใช่หรือ เห็นว่าถูกขังอยู่ที่โรงขังคนบ้าหนานซานมิใช่หรอกหรือ?”
“เจ้าดูดวงตาที่สดใสคู่นั้นของนางสิ ดูเหมือนคนบ้าเสียที่ไหนกันเล่า”
……
เมื่อหวี่เหวินอี้เห็นฉินเซิงมาปรากฏตัว เขาก็รู้สึกประหลาดใจไปครู่หนึ่ง แต่ก็สามารถเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็วมาก เหตุใดสตรีนางนี้ถึงได้หนีออกมาจากโรงขังคนบ้าหนานซานได้ล่ะนี่?
เขาเดินไปหาฉินเซิงด้วยใบหน้าขึงขัง แล้วก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้กันเล่า?”
ฉินเซิงส่งยิ้มให้เขา
“วันนี้เป็นวันอภิเษกสมรสของท่านอ๋องกับพระชายารองทั้งที หม่อมฉันในฐานะพระชายาเอก ก็ต้องมาแสดงความยินดีกับพวกท่านอยู่แล้วสิเพคะ”
หลังจากพูดจบ นางก็เดินไปที่นั่งหลักและนั่งลง สายตามองไปที่ซางหลี
ลูกสาวของมหาราชครูที่ถูกขนานนามว่าเป็นหญิงมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองจิง รูปลักษณ์ภายนอกดูมีเกียรติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูสูงส่งสง่างาม แต่ความจริงแล้วก็เป็นแค่คนใจดำคนหนึ่งเท่านั้น นางคือคนที่เป็นคนออกความคิดให้ส่งเจ้าของร่างเดิมไปที่โรงขังคนบ้าหนานซาน
ฉินเซิงกระตุกมุมปากขึ้น แล้วก็พูดว่า
“พระชายารอง เหตุใดถึงยังไม่เข้ามายกน้ำชาให้ข้าอีกเล่า!”
ในฐานะนางสนม หากจะแต่งเข้าเรือนมาก็ต้องคุกเข่ายกน้ำชาให้ภรรยาหลวงด้วย คำขอนี้ของฉินเซิงไม่ได้มากเกินไปเลย
แต่สำหรับซางหลีแล้ว การที่นางยอมอุทิศตนเป็นพระชายารองเช่นนี้ก็เพราะความรัก มิฉะนั้น ด้วยสถานะของนางแล้ว นางมีคุณสมบัติเกินกว่าที่จะเป็นพระชายาเอกได้เลยด้วยซ้ำ การที่จะให้นางละทิ้งศักดิ์ศรีลดตัวลงไปยกน้ำชาให้ฉินเซิง มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้เป็นแน่
จู่ ๆ ผ้าคลุมสีแดงบนศีรษะของนางก็ถูกดึงออก ซางหลีก็มองฉินเซิงด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามอย่างทะนงตัว
“ถึงแม้ข้าจะเป็นพระชายารอง แต่ข้าก็มิใช่นางสนม หากจะต้องถวายน้ำชา ก็ต้องไปถวายให้ฮองเฮาในวันพรุ่งนี้เพียงเท่านั้น”
เป็นพระชายารองแต่มิใช่นางสนมอย่างนั้นหรือ
สมองของซางหลีผิดปกติอะไรตรงไหนหรือไม่
ฉินเซิงไม่ได้โต้เถียงกับนางแต่อย่างใด แต่กลับหันไปหาหวี่เหวินอี้แทน
“ท่านอ๋องก็ทรงคิดว่าพระชายารองมิใช่นางสนมเหมือนกันงั้นหรือเพคะ?”
ตราบใดที่เขากล้าที่จะพยักหน้า กฎหมายแห่งจริยธรรมก็จะกลายเป็นเหมือนภูเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่งที่ทับเขาจนตายได้ในทันที
ก่อนหน้านี้ เพื่อจะแสดงความรักที่หวี่เหวินอี้มีต่อซางหลีและเพื่อให้นางยอมแต่งงานกับเขา เขาจึงบอกกับนางไปว่า ในสายตาของเขา แม้ว่าซางลี่จะเป็นพระชายารอง แต่นางไม่ใช่นางสนม อีกทั้งยังเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของเขาด้วย
แต่คำพูดเหล่านี้สามารถพูดได้เฉพาะในที่ส่วนตัวเท่านั้น ไม่สามารถพูดต่อหน้าสาธารณะได้ หากเขาตอบรับเห็นด้วยขึ้นมาจริง ๆ สำนักอาลักษณ์หลวงได้อ่านสาส์นที่กราบทูลของเขาที่ห้องเขียนหนังสือหลวงในวันรุ่งขึ้นเป็นแน่
แววตาของหวี่เหวินอี้ดูเยือกเย็นและรังเกียจเป็นอย่างมาก หากฉินเซิงไม่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ งานแต่งงานก็คงจบสิ้นไปนานแล้ว เขาอยากจะหั่นฉินเซิงออกเป็นชิ้น ๆ เสียเดี๋ยวนี้เลย แต่ด้วยความที่อยู่ต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติทั้งห้องโถง เขาจึงไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย นอกจากใช้สายตาตักเตือนเท่านั้น
“มิจำเป็นต้องถวายชาอันใดในเวลานี้หรอก ถวายในภายหลังมันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
เดิมทีเขาคิดว่าสตรีนางนี้คงจะจะเชื่อฟังเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่เขากลับไม่คาดคิดเลยว่าฉินเซิงจะเลิกคิ้วขึ้นและจี้ถามขึ้นมาอีกว่า
“ต้องถวายน้ำชาแก่พระชายาก่อน ถึงจะนับว่าแต่งเข้ามาได้ หรือว่าท่านอ๋องอยากจะส่งตัวพระชายารองกลับไปที่จวนมหาราชครูเล่าเพคะ?”
ส่งตัวพระชายารองกลับไปที่จวนมหาราชครูอย่างนั้นหรือ